วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สังคมฮิปปี้ คือ อะไร

แม้จะเกิดทันยุคฮิปปี้ แต่ก็ยังเด็กอยู่มากจนจำอะไรเกี่ยวกับฮิปปี้ไม่ได้เลย  เรื่องราวของฮิปปี้ดังต่อไปนี้จึงได้มาจากหนังสือ “สหรัฐอเมริกาในโลกปัจจุบัน (ค.ศ. ๑๙๔๕-๑๙๘๐)”  โดย ศาสตราจารย์สมร  นิติทัณฑ์ประภาศ
     ในราว ค.ศ. ๑๙๖๗ คนหนุ่มสาวอเมริกันที่เบื่อระอาสังคมชนชั้นกลางและระดับสูงกว่านั้น  เพราะไม่อาจปฏิรูปสังคมได้ดังใจนึก  และไม่อาจจะเข้าใจถึงค่านิยมของพ่อแม่ที่เน้นความสำคัญของเงินตรา  สถานภาพทางสังคมและความสำคัญของการทำงานหนักในชีวิต เพราะตนเติบโตมาโดยไม่ต้องผ่านการต่อสู้ชีวิตมาอย่างหนักเช่นพ่อแม่ คนเหล่านั้นต่างพากันปลีกตัวออกนอกสังคม  หันไปเจริญรอยตามพวกบีตนิกแห่งทศวรรษที่ ๕๐ แต่ดำรงชีวิตอยู่อย่างน่าสมเพชกว่า หนุ่มสาวเหล่านี้ได้ชื่อว่าพวก  “ฮิปปี้”
     ฮิปปี้โดยทั่วไปด้อยการศึกษา แต่งกายสกปรกซอมซ่อรุงรังไว้หนวดเครา ผมยาว ห้อยลูกประคำ สวมรองเท้าแตะ ไม่สนใจจะผูกเนกไทหรือสวมถุงเท้า นิยมสูบกัญชาและยาเสพย์ติดอื่น ๆ ชิงชังการสะสมความมั่งคั่ง  บางคนทำงานหนักที่ไม่ต้องใช้สมองเท่าใดนัก  และรายได้ต่ำมาก บางคนก็ขอเงินจากทางบ้าน  และมีไม่น้อยทำตนเป็นขอทาน
     พวกฮิปปี้ส่วนใหญ่พากันไปมั่วสุมกันที่ตำบลไฮต์แอชเบอรี  (Haight-Ashbury) ในนครซานฟรานซิสโก และที่อีสต์วิลเลจ(East Village) ในนครนิวยอร์ก  พวกฮิปปี้เรียกตนเองว่า "บุปผาดรุณ”  (flower children) หรือ “บุปผาชน” (flower people) พอใจที่จะยื่นดอกไม้ให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และอัยการที่นำตนขึ้นฟ้องร้องต่อศาลมากกว่าจะใช้วิธีประท้วงอย่างรุนแรงไม่ สนใจต่อขนบธรรมเนียมประเพณีใด ๆ ปล่อยตนตามสบายอยู่อย่างสงบ  บางคนก็หันไปสนใจศาสนาที่แตกต่างไปจากที่ตนเองและครอบครัวเคยนับถือ เช่น ศาสนาและนิกายในตะวันออก  อาทิ  ศาสนาฮินดู ลัทธิขงจื๊อ  นิกายเซน  ลัทธิเต๋าทั้งนี้เพื่อไว้ปลอบประโลมใจและเป็นประสบการณ์ในชีวิตไปด้วยบ้างก็ หมกมุ่นอยู่กับไสยศาสตร์และโหราศาสตร์  บ้างก็จับกลุ่มกันอยู่แบบคอมมูน โดยกินอยู่ใช้สอยร่วมกัน  แบ่งความรับผิดชอบ  ทรัพย์สมบัติและความรักให้ทั่วถึงกัน  ภายในคอมมูนมีการช่วยกันทำสวนครัว  ออกไปทำงานหาเงินนอกบ้านมาใช้ร่วมกัน แต่เมื่อเศรษฐกิจฝืดเคืองจนคอมมูนต้องสลายตัวไป  คนพวกนี้ก็กระจัดกระจายไปทั่ว  บ้างก็กลับไปหาครอบครัว  บ้างก็หางานทำ  บ้างก็กลับไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย บ้างก็ตุหรัดตุเหร่ไปในต่างแดน
     พวกฮิปปี้ไม่สนใจการเมือง  ซึ่งตนถือว่าเป็นเรื่องไม่จริงใจต่อกันและกัน  ไม่ชอบมีเงินตราไว้เกินกว่าเพื่อยังชีพเท่าที่จำเป็นไม่ก้าวร้าวในรูปใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าด้วยกำลังหรือวาจา เรียกร้องแต่ความรัก ความซื่อสัตย์  เปิดเผย  และความเป็นอิสระ  ซึ่งตนเห็นว่าหาไม่ได้จากสังคม  คนพวกนี้ต้องการจะมีชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ  เหมือนอาดัมกับอีฟ มนุษย์คู่แรกของโลก
     ยาเสพย์ติด  ความรักเสรี  ดนตรีร็อก  เป็นสิ่งขาดไม่ได้ของพวกฮิปปี้ ใน ค.ศ. ๑๙๖๙ สถาบันสุขภาพจิตสหรัฐฯ รายงานว่า  มีคนอเมริกันกว่าแสนคนที่ติดยาเสพย์ติตอย่างร้ายแรงและ ๘ ถึง ๑๒ ล้านคน  ได้เคยลองสูบกัญชามาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง  ภาพของฮิปปี้หนุ่มสาววัยฉกรรจ์ที่ติดยาเสพย์ติดอย่างร้ายแรงจนซูบผอมและมี อาการเศร้าซึมเพราะพิษยา ก่อให้เกิดความเศร้าสลดใจแก่ประชาชนที่ได้พบเห็น  หนุ่มสาวเหล่านั้นไม่น้อยจบชีวิตลงด้วยความตาย หรือไม่ก็คุกตะราง
     เมื่อใกล้จะสิ้นทศวรรษที่ ๖๐ สภาวะของพวกบุปผาชนยิ่งเลวร้ายลงกลายเป็น “คนข้างถนน” (street people)  ที่สกปรกโสมม  ภาคภูมิใจกับการลักเล็กขโมยน้อยเพื่อยังชีพร่อนเร่พเนจรทั่วไป บ้างก็จับกลุ่มมั่วโลกีย์กันเป็นกลุ่ม ๆ และก่อความรุนแรงที่ท้าทายกฎหมาย อาทิ พวกแก๊งมอเตอร์ไซค์ที่ขับฉวัดเฉวียนเสี่ยงความตาย และส่งเสียงอึกทึกครึกโครม เช่น  แก๊งเฮลส์  แองเจล (Hell's  Angel)  ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย  และพวกลักลอบค้ายาเสพย์ติด ใน ค.ศ. ๑๙๖๙  ชารอน เทต  (Sharon Tate)  ดาราภาพยนตร์ผู้มีชื่อเสียงซึ่งกำลังตั้งครรภ์แก่และคนอื่น  ๆ  อีกหลายคนถูกสังหารอย่างทารุณ  โดยหญิง  ๓  คน  ซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวฮิปปี้ของชาร์ลส์  แมนสัน  (Charles  Manson)  ผู้บงการโดยมิได้มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน  คดีฆาตกรรมที่โหดร้ายนี้อื้อฉาวไปทั่วโลก  ทำให้พวกฮิปปี้ได้รับคำประณามว่า “ต่ำทราม ยังไม่โต นึกถึงแต่ตัวเองและไร้ความรับผิดชอบอย่างเห็นแก่ตัว” เมื่อย่างเข้ากลางทศวรรษที่ ๗๐ สถานการณ์ภายในประเทศค่อยคลายความตึงเครียดลงเนื่องจากสงครามเวียดนามยุติลง แล้ว  การต่อสู้เรื่องสิทธิมนุษยชนก็อ่อนกำลังลง  ชุมชนของพวกฮิปปี้ก็พลอยอันตรธานไปด้วย  ต่างแยกย้ายกระจัดกระจายกันไป
ในประเทศไทยเรียกฮิปปี้ ว่า พวกบุปผาชน โดยอธิบายไว้ว่า เป็นพวกที่รัก อิสระเสรีภาพ ทั้งการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ทั้งการแต่งกาย ไม่ภูมิฐาน ฟุ้งเฟ้อหรือยึดติดกับสิ่งของราคาแพง


ขอบคุณ ข้อมูลจาก http://guru.sanook.com/answer/question/%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B9%89_-_%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99/

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ความบาล๊านซ์ ระหว่างเด็กแนวกับผู้ใหญ่แนว



ไม่รู้ว่าใครอุตริ บัญญัติศัพท์คำว่า เด็กแนว ขึ้นมาในสังคมไทย ทำให้กระแสเด็กวัยรุ่นที่ทำตัวแปลกแยก ทรงเผ้าทรงผมประหลาดๆหรือทำตัว ขบถ ต่อ ขนบ เดิม เช่น จากเคยฟังเพลงตลาดจากค่ายใหญ่ๆก็หันไปฟังเพลงค่ายอินดี้ เสื้อผ้าก็ต้องมือสองมือสามไว้ก่อน เดินเกลื่อนอยู่ในบ้านเราเต็มไปหมด เดือดร้อนไปถึงระบบทุนนิยม(อย่าคิดนะครับว่าเด็กๆพวกนี้ กระจอกงอกง่อย เพราะเด็กเหล่านี้นี่แหละที่เป็นกลุ่มเป้าหมายใหญ่สำหรับการจับจ่าย)ที่ต้อง ปรับให้เข้ากับ เทรนด์ ให้ทันรสนิยมของวัยรุ่น แถมพ่วงด้วยการมีธุรกิจบางประเภทเข้ามาตักตวงหากินกับเด็กๆเหล่านี้(อย่าง แยบยล) เพราะวัยนี้เป็นวัยที่อ่อนไหวต่อสิ่งรอบตัว อะไรมากระตุ้นหน่อย(แต่ต้องแนวๆ)ก็เห็นดีงามไปด้วยหมดโดยที่ขาดวิจารณญาณ ทำให้ผู้ปกครองได้ปวดเศียรเวียนเกล้ากันตามควร

ความคิดความอ่านก็ออกจะก้าวหน้าและสุดโต่งไปนิดจนทำให้ ขัดตาข้องใจของบรรดาผู้ใหญ่(หัวโบราณ)บางคน

เลยอด ที่จะออกมาบ่นไม่ได้ ว่าไร้สาระบ้างล่ะ ไม่สนใจบ้านเมืองบ้างล่ะ หรือขาดจิตสำนึกบ้างล่ะ แถมด้วยการอวดภูมิด้วยว่าสมัย ข้าเป็นเด็ก(แนวๆแบบยุคนั้น)อย่างพวกเอ็ง ข้าทำกิจกรรมเพื่อสังคมหลายอย่างมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างจริงจัง สนใจชาวบ้าน แต่หารู้ไม่ว่า นั่นคือกระแสเด็กแนวเหมือนกัน กรุณา อย่างงครับ ...

ในสมัยนั้นมีความสนใจเรื่องพวกนี้อยู่จริง เคลื่อนไหวโดยรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
“อะไร” ในที่นี้หมายถึง รู้ตัวว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นมีจุดประสงค์อย่างไร เช่น คนอย่าง อาจารย์ เสกสรรค์ประเสริฐกุล อาจารย์ ธีรยุทธ บุญมี และอีกหลายๆท่าน

ทำให้พลังนักศึกษามีอำนาจต่อรองสูง แต่ก็มีมากเหมือนกันที่เป็นประเภทที่ว่า พวกมากลากไป คือ เพื่อนเขาชวนไป “เฮ” ก็ไป จนกลายเป็นเครื่องมือของคนบางกลุ่มที่ไม่หวังดีต่อชาติ จนเกิดกรณี 6 ตุลา 19 ซึ่งเป็นหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของไทย ที่ควรบอกลูกหลานให้เข้าใจมากกว่านี้ ไม่ใช่ทำเป็นลืมๆไป---จะได้จดและจำเพื่อไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก (รายละเอียดไปศึกษากันเองนะครับ—ในที่นี้จะไม่ขอกล่าวถึง)
แต่...พฤษภาคม ปี35 ก็.....ข้ามไปดีกว่า


อีกตัวอย่างคือ ในอเมริกา ยุคฮิปปี้ ครองเมืองหรือยุค
“บุ ฟผาชน” วัยรุ่นหนุ่มสาวจำนวนมากแสดงพลังออกมาด้วยการ “ขบถ” ไม่สนใจต่อระบบอุตสาหกรรม ทุนนิยม เริ่มตั้งคำถามกับรัฐบาลที่คลั่งสงคราม มีการรวมตัวกันเพื่อเดินประท้วงต่อต้านสงคราม สร้างสโลแกน Make Love Not War ! หันมาสนใจปรัชญาตะวันออก โดยเฉพาะพุทธศาสนา
มีดนตรีแนวๆอย่าง เดอะ บีทเทิ่ล บ๊อบ ดีแลน มีคอนเสิร์ต
เก๋ๆ อย่าง วู้ดสต็อก (ผมเอามาเทียบกับงานพวก งานแฟท จะมากไปไหม) ผมเผ้ารุงรัง มั่วสุมตามร้านหนังสือเก๋ๆ และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย แต่ไม่นานสังคมฮิปปี้ก็เริ่มฟอนเฟะเมื่อกระแสนี้เริ่มลุกลามจนควบคุมไม่ได้ เพราะมีอิสรเสรีภาพมากเกินไปและขาดการไตร่ตรอง มีการใช้ Lsd. กัญชา และยาเสพติดอื่นๆ จึงไม่สามารถอยู่ในสังคมแห่งความจริง สังคมที่ว่าด้วยเรื่องปากท้อง เพราะแท้จริงฮิปปี้ก็ต้องกินข้าวหรืออย่างน้อยก็แฮมเบอร์เกอร์ อ้อ...ลืมบอกไปฮิปปี้สมัยนั้นมีไม่น้อยเลยที่ขอเงินจากที่บ้าน โดยที่บ้านเป็นคนในธุรกิจที่พวกตนกำลังต่อต้าน พอจะนึกภาพออกใช่ไหมครับ?
นิทานเรื่อง เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง จึงมีให้เห็นอยู่อย่างดาษดื่น
นั่นก็แปลว่ากระแสเด็กแนวมีมานานนมแล้ว เพียงแต่ต่างกันตรงคำบัญญัติ


มา ถึงตรงนี้ผมกำลังจะบอกว่า เด็กไร้สาระในสายตาของบรรดาท่านผู้ใหญ่นั้นแท้จริง ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ท่านคิด แต่เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆทำความเข้าใจ ให้"อิสระภาพ"โดยที่ให้"อาวุธ" ติดตัวพวกเขาไปด้วย เพื่อเอาไว้เป็นเครื่องป้องกันภัยที่จะเข้ามาครอบงำ และ นำพาไปในทางที่ไม่ดี
เพื่อที่พวกเขาจะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่แนวๆ ที่รู้จักการแก้ปัญหา ทั้งในเรื่องของตนเองและบ้านเมืองต่อไป

อาจ จะยากสักนิดสำหรับการเปิดใจ แต่ผมว่าไม่น่าจะยากเท่ากับการจับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ให้อยู่ในบ้านหลังสี่ทุ่มหรอกครับ--- อย่างนั้นไม่แนวเลย!